สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่มที่ ๓๖
เด็กๆ อาจรู้จักหรือเคยเห็นกิจกรรมบางอย่างที่มุสลิมปฏิบัติในมัสยิด เช่น การละหมาด การละศีลอด (การรับประทานอาหาร เมื่อสิ้นสุดการถือศีลอดในแต่ละวัน) การบริจาคทานแก่คนยากไร้ การศึกษาคัมภีร์อัลกุรอาน การบรรยายศาสนธรรม นอกจากนี้ มุสลิมในประเทศไทยยังใช้มัสยิดเป็นที่พบปะญาติพี่น้องในหมู่บ้าน หรือจัดงานต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ผู้ที่จะเข้าไปในมัสยิดควรทำความสะอาดร่างกาย แต่งกายเรียบร้อย และเข้ามัสยิดด้วยอาการสำรวม
ปัจจุบันมัสยิดในประเทศไทยมีหลายแห่ง ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มัสยิดที่สำคัญในกรุงเทพฯ เช่น มัสยิดภายในศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ มัสยิดต้นสน มัสยิดหลวงอันซอริสซุนนะฮ์ ส่วนมัสยิดที่สำคัญในต่างจังหวัด เช่น มัสยิดกลาง จังหวัดปัตตานี มัสยิดนูรุ้ลเอี๊ยะห์ซาน จังหวัดเพชรบุรี

มัสยิด เป็นคำภาษาอาหรับ หมายถึง สถานที่สำหรับมุสลิมใช้ประกอบพิธี เพื่อแสดงความภักดีต่อพระเจ้า โดยหันหน้าไปยังมัสยิดอัลฮะรอม นครมักกะฮ์ (เมกกะ) ประเทศซาอุดีอาระเบีย แต่ละมัสยิดจะมีอิหม่ามเป็นผู้นำ
มัสยิดสำคัญ ๓ แห่งที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน และบันทึกอัลหะดีษ ได้แก่ มัสยิดอัลฮะรอม ที่นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย มัสยิดอัลนะบะวีย์ ที่นครมะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย และมัสยิดอัลอักซอ ที่กรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล
มุสลิมในประเทศไทย
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ประเทศไทยหรือสยาม มีผู้นับถือศาสนาอิสลามมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ตราบจนสมัยอยุธยา จากการติดต่อค้าขายกับมุสลิมจากประเทศต่างๆ เช่น ชาวเปอร์เซีย ซึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐาน เพื่อทำการค้า และรับราชการ ในกรุงศรีอยุธยา และได้ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมาก เมื่อย้ายราชธานีมาที่กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ มุสลิมจากหลายเชื้อชาติที่โยกย้ายเข้ามาด้วยนั้น ต่างก็มีส่วนในการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล นอกจากนี้ในภาคเหนือก็มีมุสลิมเข้ามาตั้งถิ่นฐานหลายชุมชน ส่วนทางภาคใต้นั้น เป็นมุสลิมเชื้อสายมลายู ที่อาศัยมาแต่ดั้งเดิม
ความสำคัญของมัสยิดในประเทศไทย
มัสยิดเป็นศูนย์กลางของชุมชนมุสลิมในทุกภูมิภาค สำหรับในกรุงเทพฯ มุสลิมจะอยู่ร่วมกับคนกรุงเทพฯ ที่นับถือศาสนาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี คนกรุงเทพฯ และคนในภูมิภาคต่างๆ ยังรู้จักมัสยิดในนามของ กุฎี สุเหร่า อิหม่ามบารา และ บาแล
ภายในมัสยิด นอกจากเป็นที่ปฏิบัติศาสนกิจแล้ว ยังใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่างๆ ของคนในชุมชน
มุสลิมจะร่วมกันสร้างมัสยิดขึ้น สำหรับละหมาดร่วมกัน และเป็นศูนย์กลางการจัดกิจกรรมด้านต่างๆ ของชุมชน เช่น ประชุมหมู่บ้าน สอนศาสนา ช่วยเหลือผู้ประสบภัย จัดงานบุญในโอกาสต่างๆ และที่สำคัญคือ จัดกิจกรรมทางศาสนา ได้แก่
- กิจกรรมประจำวัน เช่น การละหมาด ๕ เวลา การสอนศาสนา การประชุม
- กิจกรรมในรอบปี เช่น การละหมาดในวันอีดิลฟิตริ์ และวันอีดิลอัฎฮา
- กิจกรรมในรอบชีวิต เช่น พิธีแต่งงาน พิธีศพ
ผู้ที่จะเข้าไปในมัสยิดควรทำความสะอาดร่างกายแต่งกายเรียบร้อย สะอาด และควรขอดุอาอ์ (การวิงวอนขอพรต่อพระเจ้า) ก่อนเข้าและออกจากมัสยิด ขณะนั่งอยู่ภายในมัสยิด ควรอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน กล่าวคำรำลึกต่อพระเจ้า หรือละหมาด ไม่ควรพูดคุยในเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์ และไม่ควรส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของมัสยิดในประเทศไทย
ในอดีต ชาวบ้านมักสร้างมัสยิดตามรูปแบบของสถาปัตยกรรมท้องถิ่น ได้แก่ เรือนไทย และศาลาการเปรียญ ในขณะที่ชุมชนที่มีขุนนาง หรือข้าราชการระดับสูง จะนำรูปแบบของวัดและวังมาปรับใช้ในการสร้าง แต่หลังจากสมัยรัชกาลที่ ๕ มุสลิมเชื้อชาติต่างๆ ที่เข้ามาในประเทศไทย ได้นำเอารูปแบบสถาปัตยกรรมอิสลามจากชนชาติของตน มาใช้ในการสร้างมัสยิดมัสยิดในประเทศไทยจึงมีลักษณะที่ผสมผสานสถาปัตยกรรม และศิลปกรรม ของหลายชาติเข้าด้วยกัน เราจึงพบเห็นมัสยิดที่มีอิทธิพล ของสถาปัตยกรรมไทย ชวา มลายู อินเดีย อาหรับ และเปอร์เซีย รวมถึงสถาปัตยกรรมยุโรปในที่หลายๆ แห่ง รูปแบบทางสถาปัตยกรรมของมัสยิดในแต่ละยุคสมัย จึงเป็นเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์ ทีถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้รับทราบเรื่องราวในอดีตอีกทางหนึ่ง
ในอดีต ชาวบ้านมักสร้างมัสยิดตามรูปแบบของสถาปัตยกรรมท้องถิ่น ได้แก่ เรือนไทย และศาลาการเปรียญ ในขณะที่ชุมชนที่มีขุนนาง หรือข้าราชการระดับสูง จะนำรูปแบบของวัดและวังมาปรับใช้ในการสร้าง แต่หลังจากสมัยรัชกาลที่ ๕ มุสลิมเชื้อชาติต่างๆ ที่เข้ามาในประเทศไทย ได้นำเอารูปแบบสถาปัตยกรรมอิสลามจากชนชาติของตน มาใช้ในการสร้างมัสยิดมัสยิดในประเทศไทยจึงมีลักษณะที่ผสมผสานสถาปัตยกรรม และศิลปกรรม ของหลายชาติเข้าด้วยกัน เราจึงพบเห็นมัสยิดที่มีอิทธิพล ของสถาปัตยกรรมไทย ชวา มลายู อินเดีย อาหรับ และเปอร์เซีย รวมถึงสถาปัตยกรรมยุโรปในที่หลายๆ แห่ง รูปแบบทางสถาปัตยกรรมของมัสยิดในแต่ละยุคสมัย จึงเป็นเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์ ทีถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้รับทราบเรื่องราวในอดีตอีกทางหนึ่ง

“มัสยิด” เป็นคำภาษาอาหรับ หมายถึง สถานที่สำหรับแสดงความภักดีต่อพระเจ้าของ ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม
ศาสนาอิสลาม
คำว่า อิสลาม เป็นคำภาษาอาหรับ แปลว่า “การยอมจำนน การปฏิบัติตาม และการนอบน้อม” ศาสนาอิสลามจึงมีความหมายถึง การเป็นศาสนาแห่งการนอบน้อมต่อ พระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.)๑ ซึ่งเป็นพระเจ้าองค์เดียว และมี นบีมุฮัมมัด (ซ.ล.)๒ เป็นศาสดาองค์สุดท้าย ศูนย์กลางของการเผยแผ่ศาสนาอยู่ที่นครมักกะฮ์ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “เมกกะ” และนครมะดีนะฮ์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย
ศาสนาอิสลามสอนให้คนทำความดี เพื่อหวังในความโปรดปรานจากพระเจ้า ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเรียกว่า มุสลิม ซึ่งยึดถือคัมภีร์ “อัลกุรอาน” และบันทึก “อัลหะดีษ” เป็นแนวทางในการดำรงชีวิต โดยมีหลักศาสนาที่สำคัญ ได้แก่
หลักศรัทธา (อัลอีมาน)
๑. ศรัทธาต่อเอกองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.)
๒. ศรัทธาต่อบรรดาเทวทูต (มลาอิกะฮ์) ของพระเจ้า
๓. ศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ของพระเจ้า
๔. ศรัทธาต่อบรรดาศาสดา
๕. ศรัทธาต่อวันปรโลก
๖. ศรัทธาต่อกฎกำหนดสภาวะ
หลักปฏิบัติ (อัลอิสลาม)
๑. การปฏิญาณตน
๒. การละหมาด หรือการเข้าเฝ้าพระเจ้า เพื่อแสดงความภักดีต่อพระองค์
๓. การบริจาคซะกาต หรือการบริจาคทานบังคับ
๔. การถือศีลอด
๕. การประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย
ศาสนสถานของมุสลิมเรียกว่า มัสยิด ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบศาสนพิธี และเป็นศูนย์กลางกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนมุสลิม
ศาสนาอิสลาม
คำว่า อิสลาม เป็นคำภาษาอาหรับ แปลว่า “การยอมจำนน การปฏิบัติตาม และการนอบน้อม” ศาสนาอิสลามจึงมีความหมายถึง การเป็นศาสนาแห่งการนอบน้อมต่อ พระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.)๑ ซึ่งเป็นพระเจ้าองค์เดียว และมี นบีมุฮัมมัด (ซ.ล.)๒ เป็นศาสดาองค์สุดท้าย ศูนย์กลางของการเผยแผ่ศาสนาอยู่ที่นครมักกะฮ์ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “เมกกะ” และนครมะดีนะฮ์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย
ศาสนาอิสลามสอนให้คนทำความดี เพื่อหวังในความโปรดปรานจากพระเจ้า ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเรียกว่า มุสลิม ซึ่งยึดถือคัมภีร์ “อัลกุรอาน” และบันทึก “อัลหะดีษ” เป็นแนวทางในการดำรงชีวิต โดยมีหลักศาสนาที่สำคัญ ได้แก่
หลักศรัทธา (อัลอีมาน)
๑. ศรัทธาต่อเอกองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.)
๒. ศรัทธาต่อบรรดาเทวทูต (มลาอิกะฮ์) ของพระเจ้า
๓. ศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ของพระเจ้า
๔. ศรัทธาต่อบรรดาศาสดา
๕. ศรัทธาต่อวันปรโลก
๖. ศรัทธาต่อกฎกำหนดสภาวะ
หลักปฏิบัติ (อัลอิสลาม)
๑. การปฏิญาณตน
๒. การละหมาด หรือการเข้าเฝ้าพระเจ้า เพื่อแสดงความภักดีต่อพระองค์
๓. การบริจาคซะกาต หรือการบริจาคทานบังคับ
๔. การถือศีลอด
๕. การประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย
ศาสนสถานของมุสลิมเรียกว่า มัสยิด ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบศาสนพิธี และเป็นศูนย์กลางกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนมุสลิม
ความหมายและความสำคัญของมัสยิด
ในพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. ๒๕๔๐ ให้คำนิยามไว้ว่า มัสยิด หมายถึง
“สถานที่ซึ่งมุสลิมใช้ประกอบศาสนกิจ โดยจะต้องมีละหมาดวันศุกร์เป็นปกติ และเป็นสถานที่สอนศาสนาอิสลาม
โดยมีคณะกรรมการมัสยิดดูแลกิจการต่างๆ ของมัสยิด ซึ่งรวมถึง
อิหม่าม หมายถึง ผู้นำศาสนาอิสลามประจำมัสยิด
คอเต็บ หมายถึง ผู้แสดงธรรมประจำมัสยิด
บิหลั่น หมายถึง ผู้ประกาศเชิญชวนให้มุสลิมปฏิบัติศาสนกิจตามเวลา”
มัสยิดจึงเป็นสถานที่พิเศษที่ใช้แสดงความภักดีต่อพระเจ้า และทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับศาสนา รวมทั้งการดำเนินชีวิตประจำวัน ตามแนวทางของศาสนาอิสลาม มักสร้างให้มีบรรยากาศที่เอื้อต่อการเกิดสมาธิในการแสดงความภักดีต่อพระเจ้า โดยไม่ต้องผ่านสื่อ หรือตัวแทน จึงไม่ปรากฏว่า มีการใช้สื่อหรือสัญลักษณ์ใดในมัสยิด โดยเฉพาะการใช้รูปภาพของสิ่งมีชีวิต โดยปกติแล้ว มุสลิมสามารถละหมาด ณ สถานที่ใดก็ได้ที่มีความสะอาดเรียบร้อย แต่ในทางปฏิบัติ มุสลิมมักมาละหมาดรวมกันที่มัสยิด เนื่องจาก มุ่งหวังผลบุญที่จะได้รับ ซึ่งมีมากกว่าการแยกปฏิบัติตามลำพัง
ในพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. ๒๕๔๐ ให้คำนิยามไว้ว่า มัสยิด หมายถึง
“สถานที่ซึ่งมุสลิมใช้ประกอบศาสนกิจ โดยจะต้องมีละหมาดวันศุกร์เป็นปกติ และเป็นสถานที่สอนศาสนาอิสลาม
โดยมีคณะกรรมการมัสยิดดูแลกิจการต่างๆ ของมัสยิด ซึ่งรวมถึง
อิหม่าม หมายถึง ผู้นำศาสนาอิสลามประจำมัสยิด
คอเต็บ หมายถึง ผู้แสดงธรรมประจำมัสยิด
บิหลั่น หมายถึง ผู้ประกาศเชิญชวนให้มุสลิมปฏิบัติศาสนกิจตามเวลา”
มัสยิดจึงเป็นสถานที่พิเศษที่ใช้แสดงความภักดีต่อพระเจ้า และทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับศาสนา รวมทั้งการดำเนินชีวิตประจำวัน ตามแนวทางของศาสนาอิสลาม มักสร้างให้มีบรรยากาศที่เอื้อต่อการเกิดสมาธิในการแสดงความภักดีต่อพระเจ้า โดยไม่ต้องผ่านสื่อ หรือตัวแทน จึงไม่ปรากฏว่า มีการใช้สื่อหรือสัญลักษณ์ใดในมัสยิด โดยเฉพาะการใช้รูปภาพของสิ่งมีชีวิต โดยปกติแล้ว มุสลิมสามารถละหมาด ณ สถานที่ใดก็ได้ที่มีความสะอาดเรียบร้อย แต่ในทางปฏิบัติ มุสลิมมักมาละหมาดรวมกันที่มัสยิด เนื่องจาก มุ่งหวังผลบุญที่จะได้รับ ซึ่งมีมากกว่าการแยกปฏิบัติตามลำพัง
ประเภทของมัสยิด
หลักคำสอนของศาสนาอิสลามไม่ได้ระบุถึงกฎเกณฑ์ที่ตายตัวสำหรับรูปแบบของมัสยิดไว้ แต่การตีความคำสอนที่เกี่ยวข้อง ในคัมภีร์อัลกุรอาน และการยึดถือแนวทางคำสอน รวมทั้งแบบอย่างในการสร้างมัสยิดของท่านศาสดา มุฮัมมัด (ซ.ล.) ในนครมะดีนะฮ์ ได้ถูกนำมาเป็นแนวคิดหลักในการสร้างและการใช้งานมัสยิด เมื่อศาสนาอิสลามแผ่ขยายสู่ส่วนต่างๆ ของโลก รูปแบบของมัสยิดได้พัฒนาขึ้น เกิดเป็นมัสยิดรูปแบบต่างๆ ซึ่งลักษณะและขนาดของการใช้งานที่แตกต่างกัน จึงทำให้เกิดมัสยิดประเภทต่างๆ ประกอบกับเมื่อได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอื่นๆ เช่น นโยบายการปกครองและการศาสนา ทำให้มัสยิดแต่ละแห่งมีรูปแบบทางด้านสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์
นอกเหนือจากมัสยิดสำคัญ ๓ แห่งที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอานและบันทึกอัลหะดีษ ได้แก่ มัสยิดอัลฮะรอม มัสยิดอัลนะบะวีย์ และมัสยิดอัลอักซอ แล้ว มัสยิดทุกแห่งในโลกต่างมีฐานะหรือศักดิ์ที่เท่าเทียมกันในมุมมองของศาสนา โดยทั่วไป สามารถจำแนกมัสยิดออกเป็นประเภท เพื่อการศึกษา ได้ดังนี้
๑) มัสยิดที่ใช้ในเทศกาลสำคัญ (มุศ็อลลา)
มีลักษณะเป็นพื้นที่โล่งที่ใช้ละหมาดในโอกาสสำคัญที่มีผู้ละหมาดรวมกันเป็นจำนวนมาก เช่น วันอีดิลฟิตริ์ วันอีดิลอัฎฮา ในวันดังกล่าวบรรดาญาติพี่น้องที่แยกย้ายไปอยู่ในที่ต่างๆ จะกลับมาทำพิธีร่วมกัน จึงต้องการพื้นที่ใช้งานมากกว่าปกติ ซึ่งมักเป็นพื้นที่โล่งที่มีแท่นมิมบัร หรือซุ้มมิห์รอบอยู่ทางด้านกิบละฮ์ เพื่อแสดงทิศทางในการละหมาด เมื่อเสร็จพิธี ก็จะแปรสภาพเป็นพื้นที่โล่ง สำหรับรองรับกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนได้
หลักคำสอนของศาสนาอิสลามไม่ได้ระบุถึงกฎเกณฑ์ที่ตายตัวสำหรับรูปแบบของมัสยิดไว้ แต่การตีความคำสอนที่เกี่ยวข้อง ในคัมภีร์อัลกุรอาน และการยึดถือแนวทางคำสอน รวมทั้งแบบอย่างในการสร้างมัสยิดของท่านศาสดา มุฮัมมัด (ซ.ล.) ในนครมะดีนะฮ์ ได้ถูกนำมาเป็นแนวคิดหลักในการสร้างและการใช้งานมัสยิด เมื่อศาสนาอิสลามแผ่ขยายสู่ส่วนต่างๆ ของโลก รูปแบบของมัสยิดได้พัฒนาขึ้น เกิดเป็นมัสยิดรูปแบบต่างๆ ซึ่งลักษณะและขนาดของการใช้งานที่แตกต่างกัน จึงทำให้เกิดมัสยิดประเภทต่างๆ ประกอบกับเมื่อได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอื่นๆ เช่น นโยบายการปกครองและการศาสนา ทำให้มัสยิดแต่ละแห่งมีรูปแบบทางด้านสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์
นอกเหนือจากมัสยิดสำคัญ ๓ แห่งที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอานและบันทึกอัลหะดีษ ได้แก่ มัสยิดอัลฮะรอม มัสยิดอัลนะบะวีย์ และมัสยิดอัลอักซอ แล้ว มัสยิดทุกแห่งในโลกต่างมีฐานะหรือศักดิ์ที่เท่าเทียมกันในมุมมองของศาสนา โดยทั่วไป สามารถจำแนกมัสยิดออกเป็นประเภท เพื่อการศึกษา ได้ดังนี้
๑) มัสยิดที่ใช้ในเทศกาลสำคัญ (มุศ็อลลา)
มีลักษณะเป็นพื้นที่โล่งที่ใช้ละหมาดในโอกาสสำคัญที่มีผู้ละหมาดรวมกันเป็นจำนวนมาก เช่น วันอีดิลฟิตริ์ วันอีดิลอัฎฮา ในวันดังกล่าวบรรดาญาติพี่น้องที่แยกย้ายไปอยู่ในที่ต่างๆ จะกลับมาทำพิธีร่วมกัน จึงต้องการพื้นที่ใช้งานมากกว่าปกติ ซึ่งมักเป็นพื้นที่โล่งที่มีแท่นมิมบัร หรือซุ้มมิห์รอบอยู่ทางด้านกิบละฮ์ เพื่อแสดงทิศทางในการละหมาด เมื่อเสร็จพิธี ก็จะแปรสภาพเป็นพื้นที่โล่ง สำหรับรองรับกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนได้

มัสยิดกลางบัดชาฮี ประเทศอินเดีย
๒) มัสยิดกลาง (ยะมีอะฮ์)
ในประเทศที่มีประชากรมุสลิมเป็นจำนวนมาก เช่น ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ มักมีมัสยิดกลางสำหรับละหมาดร่วมกัน โดยเฉพาะในวันศุกร์ มุสลิมจากมัสยิดแต่ละชุมชนจะมาละหมาดรวมกัน และฟังคำอบรมสั่งสอนก่อนละหมาด (คุตบะฮ์) ที่มัสยิดกลาง มัสยิดกลางจึงมีแท่นมิมบัร สำหรับให้อิหม่ามหรือคอเต็บขึ้นไปกล่าวคุตบะฮ์ และเป็นโอกาสที่มุสลิม จะได้ร่วมพบปะสังสรรค์ หรือขัดเกลาจิตใจกันสัปดาห์ละครั้ง นอกเหนือไปจากการละหมาดประจำวันในมัสยิดชุมชน มัสยิดกลางจึงมักเป็นศูนย์กลางของเมือง ที่มีสถานที่สำคัญอื่นๆ อยู่รายรอบ เช่น ศาลากลางจังหวัด อาคารรัฐสภา มหาวิทยาลัย อาคารร้านค้า ชุมชน
ในประเทศที่มีประชากรมุสลิมเป็นจำนวนมาก เช่น ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ มักมีมัสยิดกลางสำหรับละหมาดร่วมกัน โดยเฉพาะในวันศุกร์ มุสลิมจากมัสยิดแต่ละชุมชนจะมาละหมาดรวมกัน และฟังคำอบรมสั่งสอนก่อนละหมาด (คุตบะฮ์) ที่มัสยิดกลาง มัสยิดกลางจึงมีแท่นมิมบัร สำหรับให้อิหม่ามหรือคอเต็บขึ้นไปกล่าวคุตบะฮ์ และเป็นโอกาสที่มุสลิม จะได้ร่วมพบปะสังสรรค์ หรือขัดเกลาจิตใจกันสัปดาห์ละครั้ง นอกเหนือไปจากการละหมาดประจำวันในมัสยิดชุมชน มัสยิดกลางจึงมักเป็นศูนย์กลางของเมือง ที่มีสถานที่สำคัญอื่นๆ อยู่รายรอบ เช่น ศาลากลางจังหวัด อาคารรัฐสภา มหาวิทยาลัย อาคารร้านค้า ชุมชน

มัสยิดวาดีอัลฮูเซน จังหวัดนราธิวาส
๓) มัสยิดชุมชน (มัสยิด)
ในชุมชนมุสลิมแต่ละแห่งมักมีมัสยิดชุมชนเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติศาสนกิจและประกอบกิจกรรม ซึ่งโดยปกติ จะต้องมีการละหมาดวันละ ๕ เวลาเป็นประจำทุกวัน แต่ในวันศุกร์ มัสยิดชุมชนหลายแห่งไม่มีการละหมาดรวมกัน โดยมักไปละหมาดรวมกันที่มัสยิดกลาง จึงไม่จำเป็นต้องมีแท่นมิมบัร สำหรับการกล่าวคุตบะฮ์เหมือนในมัสยิดกลาง
ในชุมชนมุสลิมแต่ละแห่งมักมีมัสยิดชุมชนเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติศาสนกิจและประกอบกิจกรรม ซึ่งโดยปกติ จะต้องมีการละหมาดวันละ ๕ เวลาเป็นประจำทุกวัน แต่ในวันศุกร์ มัสยิดชุมชนหลายแห่งไม่มีการละหมาดรวมกัน โดยมักไปละหมาดรวมกันที่มัสยิดกลาง จึงไม่จำเป็นต้องมีแท่นมิมบัร สำหรับการกล่าวคุตบะฮ์เหมือนในมัสยิดกลาง

มัสยิดดารุ้ลอิห์ซาน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ
๔) มัสยิดส่วนบุคคล (บะลาซะฮ์)
ในชุมชนขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกลจากมัสยิด มักมีการสร้างอาคารขนาดเล็ก สำหรับละหมาดรวมกันในหมู่เครือญาติ ที่มีเพียงไม่กี่หลังคาเรือน สำหรับมัสยิดส่วนบุคคลมักสร้างเป็นอาคารลักษณะชั่วคราว ซึ่งอาจมีการขยายต่อเติม และสร้างเป็นอาคารมัสยิดถาวร เมื่อชุมชนมีขนาดใหญ่ขึ้น
ในชุมชนขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกลจากมัสยิด มักมีการสร้างอาคารขนาดเล็ก สำหรับละหมาดรวมกันในหมู่เครือญาติ ที่มีเพียงไม่กี่หลังคาเรือน สำหรับมัสยิดส่วนบุคคลมักสร้างเป็นอาคารลักษณะชั่วคราว ซึ่งอาจมีการขยายต่อเติม และสร้างเป็นอาคารมัสยิดถาวร เมื่อชุมชนมีขนาดใหญ่ขึ้น
๕) มัสยิดอื่นๆ
เป็นมัสยิดที่สร้างอยู่ร่วมกับอาคารอื่นๆ ในลักษณะต่างๆ เช่น มัสยิดที่อยู่ร่วมกับสุสาน มัสยิดในห้างสรรพสินค้า มัสยิดในสนามบิน มัสยิดในโรงพยาบาล มัสยิดในพระราชวัง มัสยิดในมหาวิทยาลัย
เป็นมัสยิดที่สร้างอยู่ร่วมกับอาคารอื่นๆ ในลักษณะต่างๆ เช่น มัสยิดที่อยู่ร่วมกับสุสาน มัสยิดในห้างสรรพสินค้า มัสยิดในสนามบิน มัสยิดในโรงพยาบาล มัสยิดในพระราชวัง มัสยิดในมหาวิทยาลัย
องค์ประกอบของมัสยิด
ในคัมภีร์อัลกุรอานและบันทึกอัลหะดีษไม่ได้ระบุกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการออกแบบมัสยิดไว้ แต่มุสลิมได้ใช้หลักคำสอน จากคัมภีร์อัลกุรอาน และบันทึกอัลหะดีษเป็นแนวทางในการดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับมัสยิด การวางผัง และการจัดองค์ประกอบต่างๆ จึงเกิดจากความจำเป็นทางด้านประโยชน์ใช้สอย และความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม โดยมีมัสยิดของท่านศาสดา มุฮัมมัด (ซ.ล.) เป็นต้นแบบ รูปแบบของมัสยิดได้พัฒนาให้สอดคล้องกับยุคสมัยและสถานที่ตั้ง จนเกิดเป็นรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์
โดยทั่วไปมัสยิดทั่วโลกมีองค์ประกอบที่สำคัญดังต่อไปนี้
ในคัมภีร์อัลกุรอานและบันทึกอัลหะดีษไม่ได้ระบุกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการออกแบบมัสยิดไว้ แต่มุสลิมได้ใช้หลักคำสอน จากคัมภีร์อัลกุรอาน และบันทึกอัลหะดีษเป็นแนวทางในการดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับมัสยิด การวางผัง และการจัดองค์ประกอบต่างๆ จึงเกิดจากความจำเป็นทางด้านประโยชน์ใช้สอย และความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม โดยมีมัสยิดของท่านศาสดา มุฮัมมัด (ซ.ล.) เป็นต้นแบบ รูปแบบของมัสยิดได้พัฒนาให้สอดคล้องกับยุคสมัยและสถานที่ตั้ง จนเกิดเป็นรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์
โดยทั่วไปมัสยิดทั่วโลกมีองค์ประกอบที่สำคัญดังต่อไปนี้
๑) โถงละหมาด
โถงละหมาดเป็นส่วนประกอบสำคัญของมัสยิด ที่ใช้สำหรับแสดงความภักดีต่อพระเจ้าร่วมกันตามแนวทิศทางกิบละฮ์ มีความสะอาด สงบ เป็นสัดเป็นส่วน และปลอดภัยจากสิ่งรบกวนต่างๆ
โถงละหมาดเป็นส่วนประกอบสำคัญของมัสยิด ที่ใช้สำหรับแสดงความภักดีต่อพระเจ้าร่วมกันตามแนวทิศทางกิบละฮ์ มีความสะอาด สงบ เป็นสัดเป็นส่วน และปลอดภัยจากสิ่งรบกวนต่างๆ
๒) มิห์รอบ
มิห์รอบเป็นองค์ประกอบที่ใช้ระบุทิศทางกิบละฮ์ หรือทิศที่มุสลิมทั่วโลกหันไปเวลาละหมาด โดยมีกะอ์บะฮ์ (แท่นหินดำ) เป็นศูนย์กลาง มิห์รอบอาจมีลักษณะเป็นซุ้มโค้งเว้าเข้าไปในผนังคล้าย niche ของโรมัน หรือ apse ของโบสถ์คริสต์ หรือเป็นเพียงผนังต่างระนาบที่ตกแต่งอย่างสวยงาม เพื่อให้เป็นที่สังเกต เนื่องจากมิห์รอบอยู่บริเวณด้านหน้าของการละหมาด จึงมักไม่ประดับตกแต่งมาก จนอาจไปรบกวนสมาธิของผู้ละหมาด และมักไม่มีช่องเปิดที่ทำให้ผู้ละหมาดเสียสมาธิ จากการมองเห็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายนอก
มิห์รอบเป็นองค์ประกอบที่ใช้ระบุทิศทางกิบละฮ์ หรือทิศที่มุสลิมทั่วโลกหันไปเวลาละหมาด โดยมีกะอ์บะฮ์ (แท่นหินดำ) เป็นศูนย์กลาง มิห์รอบอาจมีลักษณะเป็นซุ้มโค้งเว้าเข้าไปในผนังคล้าย niche ของโรมัน หรือ apse ของโบสถ์คริสต์ หรือเป็นเพียงผนังต่างระนาบที่ตกแต่งอย่างสวยงาม เพื่อให้เป็นที่สังเกต เนื่องจากมิห์รอบอยู่บริเวณด้านหน้าของการละหมาด จึงมักไม่ประดับตกแต่งมาก จนอาจไปรบกวนสมาธิของผู้ละหมาด และมักไม่มีช่องเปิดที่ทำให้ผู้ละหมาดเสียสมาธิ จากการมองเห็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายนอก
๓) มิมบัร
มิมบัรเป็นองค์ประกอบสำคัญ สำหรับให้อิหม่ามหรือคอเต็บขึ้นกล่าวคุตบะฮ์ แจ้งข่าวสาร หรือปราศรัย ในโอกาสที่มีการละหมาดร่วมกันในวันศุกร์ ในสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้ยกพื้นที่สำหรับยืนให้สูงขึ้น เพื่อให้คนที่อยู่ไกลได้มองเห็น และได้ยินเสียงท่านอย่างทั่วถึง เวลาต่อมาจึงได้พัฒนารูปแบบเป็นแท่นยืน ที่มีที่นั่งพัก และมีบันไดทางขึ้น โดยอาจมีซุ้มโค้ง เพื่อเน้นทางขึ้นและมีหลังคาคลุมส่วนที่ยืน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากตัวอย่างของสถาปัตยกรรมที่มีอยู่เดิม เช่น บัลลังก์ของบาทหลวง ในอาณาจักรไบแซนไทน์ บัลลังก์ของแม่ทัพในอาณาจักรซัซซาเนียน โดยทั่วไป มิมบัรมักจะวางอยู่กลางหรืออยู่ด้านขวาของมิห์รอบ เมื่อเสร็จจากการกล่าวคุตบะฮ์แล้ว อิหม่ามหรือคอเต็บจะลงมาละหมาดร่วมกับทุกคนในระดับที่เท่าเทียมกัน
มิมบัรเป็นองค์ประกอบสำคัญ สำหรับให้อิหม่ามหรือคอเต็บขึ้นกล่าวคุตบะฮ์ แจ้งข่าวสาร หรือปราศรัย ในโอกาสที่มีการละหมาดร่วมกันในวันศุกร์ ในสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้ยกพื้นที่สำหรับยืนให้สูงขึ้น เพื่อให้คนที่อยู่ไกลได้มองเห็น และได้ยินเสียงท่านอย่างทั่วถึง เวลาต่อมาจึงได้พัฒนารูปแบบเป็นแท่นยืน ที่มีที่นั่งพัก และมีบันไดทางขึ้น โดยอาจมีซุ้มโค้ง เพื่อเน้นทางขึ้นและมีหลังคาคลุมส่วนที่ยืน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากตัวอย่างของสถาปัตยกรรมที่มีอยู่เดิม เช่น บัลลังก์ของบาทหลวง ในอาณาจักรไบแซนไทน์ บัลลังก์ของแม่ทัพในอาณาจักรซัซซาเนียน โดยทั่วไป มิมบัรมักจะวางอยู่กลางหรืออยู่ด้านขวาของมิห์รอบ เมื่อเสร็จจากการกล่าวคุตบะฮ์แล้ว อิหม่ามหรือคอเต็บจะลงมาละหมาดร่วมกับทุกคนในระดับที่เท่าเทียมกัน
๔) มักซุรัท
ในยุคต้นๆ ของศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะในสมัยอุมัยยะฮ์ (พ.ศ. ๑๒๐๔-๑๒๙๓) ภายในมัสยิดมักมี มักซุรัท ซึ่งเป็นฉากไม้ หรือโลหะ ที่ทำเป็นลวดลาย สำหรับใช้กั้นพื้นที่หน้าซุ้มมิห์รอบโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันอิหม่ามซึ่งมักเป็นผู้ปกครอง ให้ปลอดภัยจากการถูกลอบทำร้ายหรือลอบสังหาร พื้นที่บริเวณมักซุรัทจึงมักจะมีช่องทางพิเศษ ให้อิหม่ามสามารถเข้าสู่มัสยิดได้เป็นการส่วนตัว โดยทั่วไปวังของผู้นำในสมัยนั้นมักสร้างอยู่ติดกับมัสยิดทางด้านผนังกิบละฮ์ เช่น พระราชวังอุค็อยดิรฺ (Ukhaydir) ในประเทศอิรัก
ในยุคต้นๆ ของศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะในสมัยอุมัยยะฮ์ (พ.ศ. ๑๒๐๔-๑๒๙๓) ภายในมัสยิดมักมี มักซุรัท ซึ่งเป็นฉากไม้ หรือโลหะ ที่ทำเป็นลวดลาย สำหรับใช้กั้นพื้นที่หน้าซุ้มมิห์รอบโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันอิหม่ามซึ่งมักเป็นผู้ปกครอง ให้ปลอดภัยจากการถูกลอบทำร้ายหรือลอบสังหาร พื้นที่บริเวณมักซุรัทจึงมักจะมีช่องทางพิเศษ ให้อิหม่ามสามารถเข้าสู่มัสยิดได้เป็นการส่วนตัว โดยทั่วไปวังของผู้นำในสมัยนั้นมักสร้างอยู่ติดกับมัสยิดทางด้านผนังกิบละฮ์ เช่น พระราชวังอุค็อยดิรฺ (Ukhaydir) ในประเทศอิรัก
๕) แท่นสำหรับผู้ขานสัญญาณ
เป็นสถานที่สำหรับให้ “มุบัลลิก” หรือผู้ขานสัญญาณส่งเสียงให้สัญญาณต่อจากอิหม่าม เพื่อให้คนที่อยู่ไกลสามารถได้ยินสัญญาณ และละหมาดพร้อมเพรียงกัน ในกรณีที่มีผู้มาละหมาดเป็นจำนวนมาก มักเป็นพื้นที่เล็กๆ สูงประมาณ ๑ ชั้น อาจอยู่บริเวณหน้าแท่นมิมบัร หรือกลางโถงละหมาด หรือกลางลานโล่งภายนอก ปัจจุบันแท่นนี้ลดความสำคัญลง เมื่อมีเครื่องขยายเสียง ที่ทำให้ได้ยินเสียงอิหม่ามกันทั่วทั้งมัสยิด
เป็นสถานที่สำหรับให้ “มุบัลลิก” หรือผู้ขานสัญญาณส่งเสียงให้สัญญาณต่อจากอิหม่าม เพื่อให้คนที่อยู่ไกลสามารถได้ยินสัญญาณ และละหมาดพร้อมเพรียงกัน ในกรณีที่มีผู้มาละหมาดเป็นจำนวนมาก มักเป็นพื้นที่เล็กๆ สูงประมาณ ๑ ชั้น อาจอยู่บริเวณหน้าแท่นมิมบัร หรือกลางโถงละหมาด หรือกลางลานโล่งภายนอก ปัจจุบันแท่นนี้ลดความสำคัญลง เมื่อมีเครื่องขยายเสียง ที่ทำให้ได้ยินเสียงอิหม่ามกันทั่วทั้งมัสยิด
๖) ลานอเนกประสงค์ หรือโถงอเนกประสงค์
ลานอเนกประสงค์ หรือโถงอเนกประสงค์ ทำหน้าที่รองรับคนที่เข้าออกจากโถงละหมาด ทั้งในวันปกติและวันสำคัญ ที่มีคนมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังใช้จัดกิจกรรมทางสังคม ที่ไม่ขัดต่อหลักศาสนาอีกด้วย
ลานอเนกประสงค์ หรือโถงอเนกประสงค์ ทำหน้าที่รองรับคนที่เข้าออกจากโถงละหมาด ทั้งในวันปกติและวันสำคัญ ที่มีคนมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังใช้จัดกิจกรรมทางสังคม ที่ไม่ขัดต่อหลักศาสนาอีกด้วย
๗) ที่อาบน้ำละหมาด
ข้อบัญญัติของศาสนาอิสลามกำหนดให้มีการอาบน้ำละหมาดก่อนการละหมาด ซึ่งเป็นการทำความสะอาดส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น มือ ใบหน้า แขน เท้า โดยอาจอาบน้ำละหมาดมาจากสถานที่อื่นแล้วเดินทางมามัสยิด หรือจะมาทำที่มัสยิดก็ได้
ข้อบัญญัติของศาสนาอิสลามกำหนดให้มีการอาบน้ำละหมาดก่อนการละหมาด ซึ่งเป็นการทำความสะอาดส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น มือ ใบหน้า แขน เท้า โดยอาจอาบน้ำละหมาดมาจากสถานที่อื่นแล้วเดินทางมามัสยิด หรือจะมาทำที่มัสยิดก็ได้
๘) หออะซาน (หอคอยประกาศเรียกละหมาด)
หออะซานเป็นสถานที่สำหรับให้ผู้ประกาศเวลาละหมาด หรือที่เรียกว่า มุอัซซิน ขึ้นไปอะซานให้ได้ยินไปไกลที่สุด การอะซานเป็นการเรียกให้มาละหมาด เมื่อถึงเวลาละหมาดประจำวัน วันละ ๕ เวลา เมื่อได้ยินเสียงอะซาน หรือการประกาศให้ทราบว่า เข้าสู่เวลาละหมาด ผู้ที่ได้ยินก็จะมาละหมาดร่วมกันที่มัสยิด พื้นที่ที่อยู่ในรัศมีเสียงอะซาน จึงมักเป็นตัวกำหนดขอบเขตพื้นที่ของชุมชน หออะซานมักสร้างเป็นหอสูงที่มีรูปทรงที่โดดเด่น และเป็นสัญลักษณ์ของมัสยิด ที่มองเห็นได้ในระยะไกล
หออะซานเป็นสถานที่สำหรับให้ผู้ประกาศเวลาละหมาด หรือที่เรียกว่า มุอัซซิน ขึ้นไปอะซานให้ได้ยินไปไกลที่สุด การอะซานเป็นการเรียกให้มาละหมาด เมื่อถึงเวลาละหมาดประจำวัน วันละ ๕ เวลา เมื่อได้ยินเสียงอะซาน หรือการประกาศให้ทราบว่า เข้าสู่เวลาละหมาด ผู้ที่ได้ยินก็จะมาละหมาดร่วมกันที่มัสยิด พื้นที่ที่อยู่ในรัศมีเสียงอะซาน จึงมักเป็นตัวกำหนดขอบเขตพื้นที่ของชุมชน หออะซานมักสร้างเป็นหอสูงที่มีรูปทรงที่โดดเด่น และเป็นสัญลักษณ์ของมัสยิด ที่มองเห็นได้ในระยะไกล
๙) ซุ้มประตู
มัสยิดโดยทั่วไปมักมีการกำหนดขอบเขต สำหรับแยกพื้นที่ภายในที่สงบ ออกจากสิ่งรบกวนภายนอก โดยอาจสร้างกำแพง หรือคูน้ำ ล้อมรอบ เพื่อแยกเป็นสัดส่วน และมีซุ้มประตูเป็นตัวเชื่อมต่อที่บ่งบอกถึงการเข้ามาภายในมัสยิด ตลอดจนเป็นตัวเน้นมุมมองให้สัมพันธ์กับแกนกลางของมัสยิด ซุ้มประตูจึงมักเป็นส่วนที่มีการประดับตกแต่งอย่างงดงาม เช่นเดียวกับโดม และหออะซาน
มัสยิดโดยทั่วไปมักมีการกำหนดขอบเขต สำหรับแยกพื้นที่ภายในที่สงบ ออกจากสิ่งรบกวนภายนอก โดยอาจสร้างกำแพง หรือคูน้ำ ล้อมรอบ เพื่อแยกเป็นสัดส่วน และมีซุ้มประตูเป็นตัวเชื่อมต่อที่บ่งบอกถึงการเข้ามาภายในมัสยิด ตลอดจนเป็นตัวเน้นมุมมองให้สัมพันธ์กับแกนกลางของมัสยิด ซุ้มประตูจึงมักเป็นส่วนที่มีการประดับตกแต่งอย่างงดงาม เช่นเดียวกับโดม และหออะซาน
มัสยิดสำคัญที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอานและบันทึกอัลหะดีษ
ในบันทึกอัลหะดีษได้กล่าวถึงความสำคัญของการละหมาดในมัสยิดต่างๆ ไว้ มีความว่า
“การละหมาดหนึ่งในมัสยิดหะรอมนั้นมีผลถึงหนึ่งแสนละหมาด และการละหมาดหนึ่งในมัสยิดของฉันมีผลถึงหนึ่งพันละหมาด และที่บัยตุลมักดิสมีผลถึงห้าร้อยละหมาด”
เมื่อเชื่อมโยงคำกล่าวจากบันทึกอัลหะดีษเข้ากับความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ มุสลิมจึงให้ความสำคัญกับมัสยิดทั้ง ๓ แห่ง มากกว่ามัสยิดโดยทั่วไป
ในบันทึกอัลหะดีษได้กล่าวถึงความสำคัญของการละหมาดในมัสยิดต่างๆ ไว้ มีความว่า
“การละหมาดหนึ่งในมัสยิดหะรอมนั้นมีผลถึงหนึ่งแสนละหมาด และการละหมาดหนึ่งในมัสยิดของฉันมีผลถึงหนึ่งพันละหมาด และที่บัยตุลมักดิสมีผลถึงห้าร้อยละหมาด”
เมื่อเชื่อมโยงคำกล่าวจากบันทึกอัลหะดีษเข้ากับความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ มุสลิมจึงให้ความสำคัญกับมัสยิดทั้ง ๓ แห่ง มากกว่ามัสยิดโดยทั่วไป

มัสยิดอัลฮะรอม นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย
๑. มัสยิดอัลฮะรอม
มัสยิดอัลฮะรอมตั้งอยู่ที่นครมักกะฮ์ หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ เมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติศาสนกิจของมุสลิมทั่วโลก และเป็นสถานที่ตั้งของสิ่งสำคัญต่างๆ เช่น วิหารกะอ์บะฮ์ บ่อน้ำซัมซัม มะกอมอิบรอฮีม รวมทั้งเส้นทางสะแอระหว่างภูเขาศ่อฟากับมัรวะ มัสยิดเป็นอาคารล้อมรอบลานโล่งที่มีวิหารกะอ์บะฮ์เป็นศูนย์กลาง
ในคัมภีร์อัลกุรอานระบุถึงมัสยิดอัลฮะรอมในฐานะที่เป็นบ้านของพระเจ้า และเป็นศูนย์กลางของการแสดงความภักดีต่อพระองค์
“แท้จริงบ้านหลังแรกที่ถูกตั้งขึ้นสำหรับมนุษย์ (เพื่อการอิบาดะฮ์) นั้นคือ บ้านที่มักกะฮ์ (หมายถึง “กะอ์บะฮ์”) โดยเป็นที่ที่ถูกให้มีความจำเริญและเป็นที่แนะนำแก่ประชาชาติทั้งหลาย” (อัลกุรอาน ๓: ๙๖)
เดิมพื้นที่ที่ใช้ปฏิบัติศาสนกิจมีเพียงรอบวิหารกะอ์บะฮ์เท่านั้น ต่อมาจึงมีการสร้างอาคารสำหรับปฏิบัติศาสนกิจล้อมรอบวิหาร และขยายต่อเติมหลายครั้งตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น จึงปรากฏร่องรอยของสถาปัตยกรรมจากหลายยุคสมัย ในมโนทัศน์ของมุสลิมถือว่า มัสยิดอัลฮะรอมคือ บ้านของพระเจ้า และเป็นศูนย์กลางกิจกรรมของมุสลิมทั่วโลก จึงเป็นต้นแบบในการสร้างมัสยิดทั่วโลก
มัสยิดอัลฮะรอมตั้งอยู่ที่นครมักกะฮ์ หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ เมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติศาสนกิจของมุสลิมทั่วโลก และเป็นสถานที่ตั้งของสิ่งสำคัญต่างๆ เช่น วิหารกะอ์บะฮ์ บ่อน้ำซัมซัม มะกอมอิบรอฮีม รวมทั้งเส้นทางสะแอระหว่างภูเขาศ่อฟากับมัรวะ มัสยิดเป็นอาคารล้อมรอบลานโล่งที่มีวิหารกะอ์บะฮ์เป็นศูนย์กลาง
ในคัมภีร์อัลกุรอานระบุถึงมัสยิดอัลฮะรอมในฐานะที่เป็นบ้านของพระเจ้า และเป็นศูนย์กลางของการแสดงความภักดีต่อพระองค์
“แท้จริงบ้านหลังแรกที่ถูกตั้งขึ้นสำหรับมนุษย์ (เพื่อการอิบาดะฮ์) นั้นคือ บ้านที่มักกะฮ์ (หมายถึง “กะอ์บะฮ์”) โดยเป็นที่ที่ถูกให้มีความจำเริญและเป็นที่แนะนำแก่ประชาชาติทั้งหลาย” (อัลกุรอาน ๓: ๙๖)
เดิมพื้นที่ที่ใช้ปฏิบัติศาสนกิจมีเพียงรอบวิหารกะอ์บะฮ์เท่านั้น ต่อมาจึงมีการสร้างอาคารสำหรับปฏิบัติศาสนกิจล้อมรอบวิหาร และขยายต่อเติมหลายครั้งตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น จึงปรากฏร่องรอยของสถาปัตยกรรมจากหลายยุคสมัย ในมโนทัศน์ของมุสลิมถือว่า มัสยิดอัลฮะรอมคือ บ้านของพระเจ้า และเป็นศูนย์กลางกิจกรรมของมุสลิมทั่วโลก จึงเป็นต้นแบบในการสร้างมัสยิดทั่วโลก
๑. มัสยิดอัลฮะรอม
มัสยิดอัลฮะรอมตั้งอยู่ที่นครมักกะฮ์ หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ เมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติศาสนกิจของมุสลิมทั่วโลก และเป็นสถานที่ตั้งของสิ่งสำคัญต่างๆ เช่น วิหารกะอ์บะฮ์ บ่อน้ำซัมซัม มะกอมอิบรอฮีม รวมทั้งเส้นทางสะแอระหว่างภูเขาศ่อฟากับมัรวะ มัสยิดเป็นอาคารล้อมรอบลานโล่งที่มีวิหารกะอ์บะฮ์เป็นศูนย์กลาง
ในคัมภีร์อัลกุรอานระบุถึงมัสยิดอัลฮะรอมในฐานะที่เป็นบ้านของพระเจ้า และเป็นศูนย์กลางของการแสดงความภักดีต่อพระองค์
“แท้จริงบ้านหลังแรกที่ถูกตั้งขึ้นสำหรับมนุษย์ (เพื่อการอิบาดะฮ์) นั้นคือ บ้านที่มักกะฮ์ (หมายถึง “กะอ์บะฮ์”) โดยเป็นที่ที่ถูกให้มีความจำเริญและเป็นที่แนะนำแก่ประชาชาติทั้งหลาย” (อัลกุรอาน ๓: ๙๖)
เดิมพื้นที่ที่ใช้ปฏิบัติศาสนกิจมีเพียงรอบวิหารกะอ์บะฮ์เท่านั้น ต่อมาจึงมีการสร้างอาคารสำหรับปฏิบัติศาสนกิจล้อมรอบวิหาร และขยายต่อเติมหลายครั้งตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น จึงปรากฏร่องรอยของสถาปัตยกรรมจากหลายยุคสมัย ในมโนทัศน์ของมุสลิมถือว่า มัสยิดอัลฮะรอมคือ บ้านของพระเจ้า และเป็นศูนย์กลางกิจกรรมของมุสลิมทั่วโลก จึงเป็นต้นแบบในการสร้างมัสยิดทั่วโลก
มัสยิดอัลฮะรอมตั้งอยู่ที่นครมักกะฮ์ หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ เมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติศาสนกิจของมุสลิมทั่วโลก และเป็นสถานที่ตั้งของสิ่งสำคัญต่างๆ เช่น วิหารกะอ์บะฮ์ บ่อน้ำซัมซัม มะกอมอิบรอฮีม รวมทั้งเส้นทางสะแอระหว่างภูเขาศ่อฟากับมัรวะ มัสยิดเป็นอาคารล้อมรอบลานโล่งที่มีวิหารกะอ์บะฮ์เป็นศูนย์กลาง
ในคัมภีร์อัลกุรอานระบุถึงมัสยิดอัลฮะรอมในฐานะที่เป็นบ้านของพระเจ้า และเป็นศูนย์กลางของการแสดงความภักดีต่อพระองค์
“แท้จริงบ้านหลังแรกที่ถูกตั้งขึ้นสำหรับมนุษย์ (เพื่อการอิบาดะฮ์) นั้นคือ บ้านที่มักกะฮ์ (หมายถึง “กะอ์บะฮ์”) โดยเป็นที่ที่ถูกให้มีความจำเริญและเป็นที่แนะนำแก่ประชาชาติทั้งหลาย” (อัลกุรอาน ๓: ๙๖)
เดิมพื้นที่ที่ใช้ปฏิบัติศาสนกิจมีเพียงรอบวิหารกะอ์บะฮ์เท่านั้น ต่อมาจึงมีการสร้างอาคารสำหรับปฏิบัติศาสนกิจล้อมรอบวิหาร และขยายต่อเติมหลายครั้งตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น จึงปรากฏร่องรอยของสถาปัตยกรรมจากหลายยุคสมัย ในมโนทัศน์ของมุสลิมถือว่า มัสยิดอัลฮะรอมคือ บ้านของพระเจ้า และเป็นศูนย์กลางกิจกรรมของมุสลิมทั่วโลก จึงเป็นต้นแบบในการสร้างมัสยิดทั่วโลก

มัสยิดอัลนะบะวีย์ นครมะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย
๓. มัสยิดอัลอักซอ
มัสยิดอัลอักซอตั้งอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล เป็นศูนย์กลางของการปฏิบัติศาสนกิจของมุสลิมในอดีต ก่อนเปลี่ยนไปเป็นมัสยิดอัลฮะรอม ถือว่า เป็นสถานที่ที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) เดินทางอิสรออ์ (การเดินทางจากมัสยิดอัลฮะรอมไปยังมัสยิดอัลอักซอ) และเดินทางมิอ์รอจ (การเดินทางจากมัสยิดอัลอักซอขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้า ณ ชั้นฟ้าเบื้องบน เพื่อรับโองการในเรื่องการละหมาด) มัสยิดอัลอักซอจึงเป็นมัสยิดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก
มัสยิดอัลอักซอตั้งอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล เป็นศูนย์กลางของการปฏิบัติศาสนกิจของมุสลิมในอดีต ก่อนเปลี่ยนไปเป็นมัสยิดอัลฮะรอม ถือว่า เป็นสถานที่ที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) เดินทางอิสรออ์ (การเดินทางจากมัสยิดอัลฮะรอมไปยังมัสยิดอัลอักซอ) และเดินทางมิอ์รอจ (การเดินทางจากมัสยิดอัลอักซอขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้า ณ ชั้นฟ้าเบื้องบน เพื่อรับโองการในเรื่องการละหมาด) มัสยิดอัลอักซอจึงเป็นมัสยิดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก

มัสยิดอัลอักซอ กรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล
สวัสดีค่ะ ขอให้ทำลิ้งค์ไปที่เว็บไซต์ของมูลนิธิฯ จะดีกว่าค่ะ เนื่องจากติดเรื่องลิขสิทธิ์การเผยแพร่ค่ะ ขอบคุณค่ะ
ตอบลบ